24 มิถุนายน 2551

การบ้านเรื่อง Ethernet

Ethernet
ความหมายของIEEE 802.3IEEE 802.3 หรือ อีเทอร์เน็ต (Ethernet) เป็นเครือข่ายที่มีความเร็วสูงการส่งข้อมูล 10 เมกะบิตต่อวินาทีสถานีในเครือข่ายอาจมีโทโปโลยีแบบัสหรือแบบดาว IEEE ได้กำหนดมาตรฐานอีเทอร์เน็ตซึ่งทำงานที่ความเร็ว 10 เมกะบิตต่อวินาทีไว้หลายประเภทตามชนิดสายสัญญาณเช่น
• 10Base5 อีเทอร์เน็ตโทโปโลยีแบบบัสซึ่งใช้สายโคแอกเชียลแบบหนา (Thick Ethernet)ความยาวของสายในเซกเมนต์หนึ่ง ๆ ไม่เกิน 500 เมตร
• 10Base2 อีเทอร์เน็ตโทโปโลยีแบบบัสซึ่งใช้สายโคแอ๊กเชียลแบบบาง (Thin Ethernet) ความยาวของสายในเซกเมนต์หนึ่ง ๆ ไม่เกิน 185 เมตร
• 10BaseT อีเทอร์เน็ตโทโปโลยีแบบดาวซึ่งใช้ฮับเป็นศูนย์กลาง สถานีและฮับเชื่อมด้วยสายยูทีพี (Unshield Twisted Pair) ด้วยความยาวไม่เกิน 100 เมตรรูปที่ข้างล่าง แสดงถึงลักษณะเครือข่ายอีเทอร์เน็ตแยกตามประเภทของสายสัญญาณ รหัสขึ้นต้นด้วย 10 หมายถึงความเร็วสายสัญญาณ 10 เมกะบิตต่อวินาที
คำว่า “Base” หมายถึงสัญญาณชนิด “Base” รหัสถัดมาหากเป็นตัวเลขหมายถึงความยาวสายต่อเซกเมนต์ในหน่วยหนึ่งร้อยเมตร (5=500, 2 แทนค่า 185) หากเป็นอักษรจะหมายถึงชนิดของสาย เช่น T คือ Twisted pair หรือ F คือ Fiber opticsส่วนมาตรฐานอีเทอร์เน็ตความเร็ว 100 เมกกะบิตต่อวินาทีที่นิยมใช้ในปัจจุบันได้แก่100BaseTX และ 100BaseFX สำหรับอีเทอร์เน็ตความเร็วสูงแบบกิกะบิตอีเทอร์เน็ตเริ่มแพร่หลายมากขึ้น ตัวอย่างของมาตรฐานกิกะบิตอีเทอร์เน็ตในปัจจุบันได้แก่ 100BaseT, 100BaseLX และ 100BaseSX เป็นต้น
อีเทอร์เน็ตใช้โปรโตคอล ซีเอสเอ็มเอ/ซีดี (CSMA/CD : Carrier Sense Multiple Access with Collision Detection) เป็นตัวกำหนดขั้นตอนให้สถานีเข้าครอบครองสายสัญญาณ ในขณะเวลาหนึ่งจะมีเพียงสถานีเดียวที่เข้าครองสายสัญญาณเพื่อส่งข้อมูลสถานีที่ต้องการส่งข้อมูลต้องการตรวจสอบสายสัญญาณว่ามีสถานีอื่นใช้สายอยู่หรือไม่ ถ้าสายสัญญาณว่างก็ส่งข้อมูลได้ทันที หากไม่ว่างก็ต้องคอยจนกว่าสายสัญญาณว่างจึงจะส่งข้อมูลได้ ขณะที่สถานีหนึ่ง ๆ กำลังส่งข้อมูลก็ต้องตรวจสอบสายสัญญาณไปพร้อมกันด้วยเพื่อตรวจว่าในจังหวะเวลาที่ใกล้เคียงกันนั้นมีสถานีอื่นซึ่งพบสายสัญญาณว่างและส่งข้อมูลมาหรือไม่ หากเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นแล้ว ข้อมูลจากทั้งสองสถานีจะผสมกันหรือเรียกว่า การชนกัน (Collision) และนำไปใช้ไม่ได้ สถานีจะต้องหยุดส่งและสุ่มหาเวลาเพื่อเข้าใช้สายสัญญาณใหม่ ในเครือข่ายอีเทอร์เน็ตที่มีสถานีจำนวนมากมักพบว่าการทานจะล่าช้าเพราะแต่ละสถานีพยายามยึดช่องสัญญาณเพื่อส่งข้อมูลและเกิดการชนกันเกือบตลอดเวลา โดยไม่สามารถกำหนดว่าสถานีใดจะได้ใช้สายสัญญาณเมื่อเวลาใด อีเทอร์เน็ตจึงไม่มีเหมาะกับการใช้งานในระบบจริง 2.10 Base 210 Base 2
เป็นรูปแบบต่อสายโดยใช้สาย Coaxialมีเส้นศูนย์กลาง 1/4 นิ้ว เรียกว่า Thin Coaxial สายจะมีความยาวไม่เกิน 180 เมตรมาตรฐาน 10 Base 2 ความหมาย 10 คือความเร็วในการส่งข้อมูล 10 Mbps Baseคือการส่งข้อมูลแบบ Baseband 2 คือความยาวสูงสุด 200 เมตร (185 – 200 เมตร ) 10 Base 2 เป็นแบบเครือข่ายที่ใช้สาย Coaxial แบบบาง (Thin Coaxial) ชนิด RG-58 A/U โดยจะมี Teminator (50 โอมห์ ) เป็นตัวปิดหัว และท้ายของเครือข่ายข้อกำหนดของ 10 Base 2
• ใช้สาย Thin Coaxial ชนิด RG-58 A/U
• หัวที่ใช้ต่อกับสายคือ หัว BNC
• ห้ามต่อหัว BNC เข้ากับ LAN Card โดยตรง ต้องต่อด้วย T-Connector เท่านั้น
• เครื่องตัวแรกและตัวสุดท้ายในเครือข่าย ต้องปิดด้วย Terminator ขนาด 50 โอมห์
• ความยาวของสายแต่ละเส้นที่ต่อระหว่าง Workstation ต้องมีความยาวไม่ต่ำกว่า 0.5 เมตร
• สายสัญญาณต่อ 1 Segment ยาวไม่เกิน 200 เมตร (185 – 200 เมตร )
• ใน 1 Segment สามารถต่อเป็นเครือข่ายได้ไม่เกิน 30 เครื่อง
• ในกรณีที่ต้องการต่อมากกว่า 30 เครื่อง ต้องมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า Repeater เพื่อเพิ่ม Segment โดยสามารถต่อ Repeater ได้ไม่เกิน 4 Repeater ( ดังนั้น 4 Repeater = 5 Segment)
• ความยาวของสายสัญญาณทั้งหมด สูงสุด 1000 เมตร (200 เมตรต่อ 1 Segment คูณด้วย 5 Segment)
• จำนวนเครื่องสูงสุดในเครือข่าย 150 เครื่อง (30 เครื่องต่อ 1 Segment คูณด้วย 5 Segment)3.10 Base 5ความหมาย 10 คือความเร็วในการส่งข้อมูล 10 Mbps Base คือการส่งข้อมูลแบบ Baseband
• คือความยาวสูงสุด 500 เมตร 10 Base 5 เป็นแบบเครือข่ายที่มีลักษณะคล้ายกับ 10 Base 2แต่จะใช้สาย Coaxial แบบหนา (Thick Coaxial หรือ Back Bone)เป็นสายชนิด RG-8 ซึ่งสายจะเป็นสีเหลืองและมีขนาดใหญ่โดย Teminator (50 โอมห์ ) เป็นตัวปิดหัวและท้ายของเครือข่าย เครือข่ายชนิด 10 Base 5 นี้ จะมีต่อจำนวนเครื่องได้มากกว่าและต่อในระยะได้ไกลกว่าแบบ 10 Base 2 แต่ในปัจจุบันมักไม่นิยมใช้กันเนื่องจากต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูง อุปกรณ์ต่างๆ ที่ควรทราบ มีดังนี้แผงวงจรเครือข่าย (LAN Card) คือแผงวงจรเครือข่ายที่เสียบไว้กับตัวเครื่อง และเชื่อมต่อด้วยสายเพื่อต่อเป็นเครือข่ายโดยแผงวงจรเครือข่ายนี้จะมีหัวเสียบเป็นชนิด DIX Connector Socket ( LAN Card ) ชนิด AUIใช้กับมาตรฐาน 10 Base 5ข้อกำหนดของ 10 Base 5
• ใช้สาย Thick Coaxial ชนิด RG-8
• หัวที่ใช้ต่อกับสายคือหัว DIX หรือบางทีอาจจะเรียกว่า หัว AUI
• เครื่องตัวแรกและตัวสุดท้ายในเครือข่ายต้องปิดด้วย N-Series Terminator ขนาด 50 โอมห์
• ระยะห่างระหว่าง Transceiver ต้องไม่ต่ำกว่า 2.5 เมตร
• Transceiver Cable จะมีความยาวได้ไม่เกิน 50 เมตร
• ใน 1 Segment สามารถต่อเป็นเครือข่ายได้ไม่เกิน 100 เครื่อง
• สายสัญญาณต่อ 1 Segment ยาวไม่เกิน 500 เมตร
• ในกรณีที่ต้องการต่อมากกว่า 100 เครื่อง ต้องมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า Repeaterเพื่อเพิ่มSegment โดยสามารถต่อ Repeater ได้ไม่เกิน 4 Repeater (ดังนั้น 4 Repeater = 5 Segment)
• ความยาวของสายสัญญาณทั้งหมด สูงสุด 2,500 เมตร (500 เมตรต่อ 1 Segment คูณด้วย 5 Segment )
• จำนวนเครื่องสูงสุดในเครือข่าย 500 เครื่อง (100 เครื่องต่อ Segment คูณด้วย 5 Segment )4.100 Base F100Base-Fสาย AMP OSP (Outside Plant) ถูกออกแบบมาเฉพาะเพื่อการติดตั้งในพื้นที่ขนาดใหญ่เพราะสามารถติดตั้งไว้บนเสาโยง หรือลอดท่อใต้ดิน เพื่อเชื่อมต่อระหว่างอาคาร สายถูกทดสอบตามมาตรฐาน TIA ซึ่งเป็นข้อกำหนดสำหรับสายไฟเบอร์ออปกติ ทั้งยังมีคุณสมบัติเกินมาตรฐานไปอีกขั้นจึงรองรับได้ทั้ง 100Base-F, 155/622 Mbps ATM และกิกะบิตอีเธอร์เน็ต5.100BASE-FX 100BASE-FX Multimode LC SFP Transceiver(P/N: DEM-211) มอบประสิทธิภาพการทำงานระดับสูงให้กับแอพพลิเคชันการสื่อสารข้อมูลแบบซีเรียลออพติคัลดาต้า นอกจากนั้นยังประกอบด้วยตัวเชื่อมต่อที่มีการทำงานแบบดูเพล็กซ์ LC รวมถึงยังสามารถใช้งานร่วมกับมาตรฐานการสื่อสารแบบ IEEE 802.3u เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นเป็น 100 เมกะบิตต่อวินาที ในโหมดฮาฟดูเพล็กซ์สำหรับแอพพลิเคชันเคเบิลไฟเบอร์ทั้งนี้การอินทริเกรทตัวรับส่งคุณภาพสูงของดีลิงค์นั้นก็เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นปราศจากอาการกระตุกของสัญญาณ และเพื่อให้การเชื่อมต่อแบบออพติคัลสามารถขยายออกไปได้มากยิ่งขึ้นโดยไม่มีการลดประสิทธิภาพลง อุปกรณ์นี้จึงช่วยให้การถ่ายโอนข้อมูลในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะทางที่ไกลๆ ทั้งในส่วนของการใช้งานภายในอาคาร โรงงาน แคมปัสและในตัวเมืองมีเสถียรภาพยิ่งขึ้น และเมื่อสวิตช์ 2 ตัวมีการเชื่อมต่อกันแล้วโดยใช้ตัวรับส่ง DEM-211 ทั้ง 2 ทาง ผู้ใช้งานจะได้รับอัตราเร็วของการเชื่อมต่อที่ระดับ 155 เมกะบิตต่อวินาที ยิ่งไปกว่านั้นยังได้มอบการเชื่อมต่อแบบไฟเบอร์ออพติค 100BASE-FX SFP บนพอร์ต Gigabit combo SFP ให้กับสวิตช์ของดีลิงค์อีกด้วย

18 มิถุนายน 2551

ข้อสอบ ปรนัย + อัตนัย วันที่ 18 มิถุนายน 2551

ปรนัย 10 ข้อ
1.ถ้า IP address ประกอบด้วย หมายเลขเครือข่าย หมายเลข subnet และหมายเลข host ตามตัวอย่างข้างบน บิตชุดที่ต้องค้นหาคือ ?
ก.24 บิตแรก
ข.34 บิตแรก
ค.64 บิตแรก
ง.84 บิตแรก
2.IP address 32 บิต จะอธิบายเป็น dot address คือ กี่กลุ่ม
ก.2 กลุ่ม
ข.3 กลุ่ม
ค.4 กลุ่ม
ง.5 กลุ่ม
3.IP Address คืออะไร?
ก.จำนวนตัวเลขสำหรับ Network ID และ Host ID
ข.สิ่งที่ใช้บอก ที่อยู่ของเครื่อง computer หรืออุปกรณ์บางอย่าง ที่ต่ออยู่ใน network
ค.สิ่งที่จะเป็นตัวจำแนก class ของ network
ง. ตัวเลขแต่ละตัว
4.Internet IP Address ใช้ในระดับ Address จะมี 2 ระดับ - 192.72.100.3 มีขนาดกี่บิต
ก.32 bit
ข.34 bit
ค.36 bit
ง.38 bit
5.วิธีการ AND ตัวเลข 2 ตัว สามารถทำได้โดยใช้เครื่องคิดเลขแบบ ใด.
ก.Scientific
ข.froom
ค.there
ง.them
6.การแบ่ง network ออกเป็นส่วนย่อยๆ สามารถทำได้โดยใช้สิ่งที่เรียกว่า?.
ก.Subnet wask
ข.Subnet Mask
ค.Subnet Woot
ง.Subnet want
7.สิ่งที่จะเป็นตัวจำแนก class ของ network คือ?.
ก.root
ข.way
ค.boy
ง.bit
8.ในระบบเครือข่ายหนึ่งๆ Host ทุกเครื่องจะต้องใช้หมายเลขเครือข่ายเช่นใด.
ก.แตกต่างกัน
ข.คล้ายกัน
ค.เดียวกันทั้งหมด
ง.ไม่มีข้อถูก
9.ปกติการรับ-ส่ง Datagram จะมีอะไรเป็นตัวจัดการ?
ก.Router
ข.Pouter
ค.Fouter
ง.Bouter
10.การใช้ระบบการตั้งชื่อแบบ C ซึ่งจะมีจำนวน Host ได้ไม่เกิน กี่เครื่อง
ก.214เครื่อง
ข.254 เครื่อง
ค.255เครื่อง
ง.260เครื่อง

......................................................................................................

อัตนัย 10 ข้อ
1.สมมติว่าคุณต้องการนำ Network Address 168.108.0.0 มาแบ่งซอยย่อยออกเป็น 5 Subnet Address โดยแต่ละ Subnet มีเครื่องคอมพิวเตอร์ประมาณ 100-150 เครื่อง
- จงหาจำนวนบิตที่จะต้องยืมจาก Host Address โดยใช้สูตร 2^x - 2>=n
------------------------------------------------------------------
------------------------------------------------------------------
------------------------------------------------------------------
------------------------------------------------------------------
เฉลย . สูตร 2^x - 2>=n
= 2^x-2>=5
= 2^13>=150
= 8192>=150 ก็แสดงว่า Host Address 13 บิต เพียงพอกับจำนวนคอมพิวเตอร์ที่เราต้องการใช้


2. จงหาค่าของ Subnet Mask
ให้เขียน Defualt Subnet Mask ให้อยู่ในเลขฐานสอง ในที่นี้ 168.108.0.0 ในในคลาส B ดังนั้น Subnet Mask คือ 255.255.0.0 เมื่อเขียนเป็นเลขฐานสองจะได้เท่ากับ

------------------------------------------------------------------
------------------------------------------------------------------
------------------------------------------------------------------
เฉลย. 11111111.11111111.00000000.00000000

3.จากโจทย์ข้อ 2 เมื่อยืม Host Address มา 3 บิตจะได้
--------------------------------------------------------------------
--------------------------------------------------------------------
เฉลย. 11111111.11111111.11100000.00000000

4.TCP/IP เป็นกลุ่มของ Protocol ที่ประกอบกันเป็นชุดใช้งาน โดยมีคำเต็มว่าอะไร
----------------------------------------------------------------------
----------------------------------------------------------------------
เฉลย. Transmission Control, Protocol/Internet Protocol

5.จงบอกข้อดีของฮับ
---------------------------------------------------------------------
---------------------------------------------------------------------
---------------------------------------------------------------------
เฉลย. 1.ใช้งานง่าย
2.ราคาถูก


6.จงบอกข้อเสียของฮับ
-----------------------------------------------------------------------
-----------------------------------------------------------------------
-----------------------------------------------------------------------
เฉลย 1.เนื่องจากการใช้บัสร่วมกัน เมื่ออุปกรณ์มากกว่า 1 ตัวต้องการส่งข้อมูลพร้อมกันอาจทำให้เกิดปัญหาการชนกัน (collision) ของข้อมูลได้ ทำให้ ต้องมีการส่งใหม่ และทำให้ประสิทธิภาพของเครือข่ายลดลง โดยเฉพาะเครือข่ายที่มีอุปกรณ์เชื่อมต่ออยู่เป็นจำนวนมาก
2.ความปลอดภัยต่ำ เนื่องจากเราสามารถดักจับเอาข้อมูลที่ส่งไปยังเครื่องต่างๆ ในเครือข่ายมาวิเคราะห์ได้


7.หมายเลข IP ในช่วง 158.108.100.0-158.108.100.255 นี้ถ้าเราตัดเอาเฉพาะ 26 บิตแรกมาพิจารณา (โดยเติม 0 แทนอีก 6 บิตที่เหลือ) เราจะได้หมายเลขที่แตกต่างกัน 4 หมายเลข คือ?
----------------------------------------------------------------------
----------------------------------------------------------------------
----------------------------------------------------------------------
----------------------------------------------------------------------
เฉลย .158.108.100.0 (10011110011011000110010000000000)
. 158.108.100.64 (10011110011011000110010001000000)
.158.108.100.128 (10011110011011000110010010000000)
.158.108.100.192 (10011110011011000110010011000000)


8. กรณีที่ว่า สมมติได้ IP คลาส C มา สมมติอีกว่าอยู่ในช่วง 200.10.20.0-200.10.20.255 (สำหรับคนที่ไม่ทราบนะครับ 1 คลาส C จะมี 256 หมายเลข IP) แล้วต้องการแบ่งเป็น 8 กลุ่มย่อยเท่าๆ กัน เราจะได้กลุ่มละ 32 หมายเลขซึ่งต้องใช้ 5 บิตในการแทน ในกรณีนี้ network address ก็จะมี 27 บิต และ subnet mask ก็จะเป็น 255.255.255.224 แต่ละกลุ่มมี network address ดังนี้
--------------------------------------------------------
--------------------------------------------------------
--------------------------------------------------------
--------------------------------------------------------
--------------------------------------------------------
เฉลย.200.10.20.0
.200.10.20.32
.200.10.20.64
.200.10.20.96
.200.10.20.128
.200.10.20.160
.200.10.20.192
.200.10.20.224



9.จงบอกข้อดีของสวิตช์
------------------------------------------------------------------------
------------------------------------------------------------------------
------------------------------------------------------------------------
เฉลย 1.ประสิทธิภาพสูง ไม่มีการใช้บัสร่วมกัน นอกจากนี้ในสวิตช์อาจจะมีบัฟเฟอร์เพื่อป้องกันปัญหาในกรณีที่อุปกรณ์มากกว่า 1 ตัวต้องการส่งข้อมูลไปยังปลายทางเดียวกันพร้อมๆ กันด้วย
2.ความปลอดภัยสูงกว่าฮับ การดักจับข้อมูลทำได้ยาก


10 . จงบอกข้อเสียของสวิตช์
----------------------------------------------------------------------------------
----------------------------------------------------------------------------------
----------------------------------------------------------------------------------
----------------------------------------------------------------------------------
เฉลย1.ราคาแพง
2.เมื่อนำอุปกรณ์ใหม่ต่อเข้ากับสวิตช์ ในบางกรณีเราจะยังไม่สามารถส่งข้อมูลไปยังอุปกรณ์ตัวใหม่นั้นได้ จนกว่าสวิตช์จะเรียนรู้ว่าหมายเลข MAC ของอุปกรณ์ตัวนั้นคืออะไร (รายละเอียดศึกษาได้จากหนังสือด้านระบบเครือข่ายทั่วๆ ไป หัวข้อ ARP แต่สวิตช์สามารถเรียนรู้หมายเลข MAC ได้จากหลายทาง ARP ก็เป็นหนึ่งในนั้น) การเรียนรู้หมายเลข MAC นี้ส่วนใหญ่จะใช้เวลาไม่นานนัก ขึ้นอยู่กับว่าอุปกรณ์ตัวนั้นจะเริ่มส่งข้อมูลออกมาเมื่อใด (สวิตช์จะจำหมายเลข MAC จากpacket ที่ส่งออกจากอุปกรณ์ตัวนั้น


-----------------------------------**********************-------------------------

17 มิถุนายน 2551

การบ้าน วันที่ 11 มิถุนายน 2551

.สรุป basic’s datacommunication
การสื่อสารข้อมูล (Data Communications) หมายถึง กระบวนการถ่ายโอนหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างผู้ส่งและผู้รับ โดยผ่านช่องทางสื่อสาร เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือคอมพิวเตอร์เป็นตัวกลางในการส่งข้อมูล พื่อให้ผู้ส่งและผู้รับเกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันส่วนประกอบพื้นฐานของการสื่อสารข้อมูล
1. ตัวส่งข้อมูล
2. ช่องทางการส่งสัญญาณ
3. ตัวรับข้อมูล
4. การสื่อสารข้อมูลในระดับเครือข่าย
มาตรฐานกลางที่ใช้ในการส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่ายคือ มาตรฐาน OSI (Open Systems Interconnection Model) ซึ่งทำให้ทั้งคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เชื่อมต่อต่างๆ สามารถเชื่อมโยงและใช้งานในเครือข่าย
จุดมุ่งหมายของการกำหนดมาตรฐาน OSI นี้ขึ้นมาก็เพื่อจัดแบ่งการดำเนินงานพื้นฐานของเครือข่ายและกำหนดหน้าที่การทำงานในแต่ละชั้น
1.Application Layer = มีหน้าที่ติดต่อระหว่างผู้ใช้โดยตรง
2.Presentation Layer = มีหน้าที่คอยรวบรวมข้อความ และแปลงรหัสหรือแปลงรูปแบบของข้อมูลให้เป็นรูปแบบการสื่อสารเดียวกัน
3.Session Layer = มีหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างผู้ใช้งานกับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ โดยจะกำหนดจุดผู้รับและผู้
4.Transport Layer = มีหน้าที่ตรวจสอบและป้องกันขอ้มูลให้ข้อมูลที่ส่งมานั้นไปถึงปลายทางจริงๆ
5.Network Layer = มีหน้าที่กำหนดเส้นทางการเดินทางของข้อมูลที่ส่ง-รับในการส่งข้อมูลระหว่างต้นทางและปลายทาง
6.DataLink Layer = มีหน้าที่เหมือนผู้ตรวจสอบ คอยควบคุมความผิดำพลาดในข้อมูล
7. Physical Layer = มีหน้าที่รับ-ส่งข้อมูลจากช่องทางการสื่อสารสื่อระหว่างคอมพิวเตอร์รูปแบบของการส่งสัญญาข้อมูล
1. แบบทิศทางเดียวหรือซิมเพล็กซ์ (One-way หรือ Simplex
2. แบบกิ่งทางคู่หรือครึ่งดูเพล็กซ์ (Half-Duplex)
3. แบบทางคู่หรือดูเพล็กซ์เต็ม (Full - Duplex )แบบมีสายเช่น สายโทรศัพท์
เคเบิลใยแก้วนำแสงสายโคแอคเชียล (Coaxial)สายแบบนี้จะประกอบด้วยตัวนำที่ใช้ในการส่งข้อมูลเส้นหนึ่งอยู่ตรงกลางอีกเส้นหนึ่งเป็นสายดินใยแก้วนำแสง (Optic Fiber)ทำจากแก้วหรือพลาสติกมีลักษณะเป็นเส้นบางๆ คล้าย เส้นใยแก้วจะทำตัวเป็นสื่อในการส่งแสงเลเซอร์ที่มีความเร็วในการส่งสัญญาณเท่ากับความเร็วของแสงข้อดีของใยแก้วนำแสดงคือ
1. ป้องกันการรบกวนจากสัญญาณไฟฟ้าได้มาก
2. ส่งข้อมูลได้ระยะไกลโดยไม่ต้องมีตัวขยายสัญญาณ
3. การดักสัญญาณทำได้ยาก ข้อมูลจึงมีความปลอดภัยมากกว่าสายส่งแบบอื่น
4. ส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูงและสามารถส่งได้มาก ขนาดของสายเล็กและน้ำหนักเบาแบบไม่มีสายเช่น ไม่โครเวฟ และดาวเทียมไมโครเวฟ (Microwave) สัญญาณไม่โครเวฟเป็นคลื่นวิทยุเดินทางเป็นเส้นตรง อุปกรณ์ที่ใช้ในการรับ-ส่งคือจานสัญญาณไม่โครเวฟ ซึ่งมักจะต้องติดตั้งในที่สูงและมักจะให้อยู่ห่างกันประมาณ 25-30 ไมล์
ข้อดี ของการส่งสัญญาณด้วยระบบไมโครเวฟ ก็คือ
สามารถส่งสัญญาณด้วยความถื่กว้างและการรบกวนจากภายนอกจะน้อยมากจนสัญญาณไม่ดี หรืออาจส่งสัญญาณไม่ได้
การส่งสัญญาณโดยใช้ระบบไมโครเวฟนี้จะใช้ในกรณ๊ที่ไม่สามารถจะติดตั้งสายเคเบิลได้ เช่น
อยู่ในเขตป่าเขาดาวเทียม (Setellite)มีลักษณะการส่งสัญญา คล้ายไมโครเวฟ แต่ต่างกันตรงที่
ดาวเทียมจะมีสถานีรับส่งสัญญาณลอยอยู่ในอวกาศจึงไม่มีปัญหาเรื่องส่วนโค้งของผิวโลกก่อนส่งกลับมายังพื้นโลก
ข้อดี ของการสื่อสารผ่านดาวเทียมคือ
ส่งข้อมูลได้มาก และมีความผิดพลาดน้อยส่วนข้อเสีย คือ อาจจะมีความล่าช้าเพราะระยะทางระหว่างโลกกับดาวเทียม หรือถ้าสภาพอากาศไม่ดีก็อาจจะก่อให้เกิดความผิดพลาดได้
......................................................................................................

.Basic’s IP AddressIP Address
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ IP Address ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทุกคนต้องเกี่ยวข้องกับไอพีแอดเดรส อย่างน้อย
พีซีที่ต่ออยู่กับอินเทอร์เน็ตต้องมีการกำหนดไอพีแอดเดรส คำว่าไอพีแอดเดรส จึงหมายถึงเลขหรือรหัสที่บ่งบอก ตำแหน่งของเครื่องที่ต่ออยู่บน อินเทอร์เน็ต ตัวเลขรหัสไอพีแอดเดรสจึงเสมือนเป็นรหัสประจำตัวของเครื่องที่ใช้ ตั้งแต่พีซี ของผู้ใช้จนถึงเซิร์ฟเวอร์ให้บริการอยู่ทั่วโลก ทุกเครื่องต้องมีรหัสไอพีแอดเดรสและต้องไม่ซ้ำกันเลยทั่วโลก
พีแอดเดรสที่ใช้กันอยู่นี้เป็น ตัวเลขไบนารีขนาด 32 บิตหรือ 4 ไบต์
11101001
11000110
00000010
01110100

แต่เมื่อต้องการเรียกไอพีแอดเดรสจะเรียกแบบไบนารีคงไม่สะดวก จึงแปลงเลขไบนารี หรือเลขฐานสองแต่ละไบต์ ( 8 บิต ) ให้เป็นตัวเลขฐานสิบโดยมีจุดคั่น
11001011
10010111
00101110
00010011
203 .
151 .
46 .
19

เมื่อตัวเลขไอพีแอดเดรสจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับกำหนดให้กับเครื่อง และอินเทอร์เน็ตเติบโตรวดเร็วมาก เป็นผลทำให้ไอพีแอดเดรสเริ่มหายากขึ้นการกำหนดไอพีแอดเดรสเน้นให้องค์กรจดทะเบียนเพื่อขอไอพีแอดเดรสและมีการแบ่งไอพีแอดเดรส ออกเป็นกลุ่มสำหรับองค์กรเรียกว่า คลาส โดยแบ่งเป็น คลาส A คลาส B คลาส Cคลาส A กำหนดตัวเลขในฟิลด์แรกเพียงฟิลด์เดียว ที่เหลืออีกสามฟิลด์ให้องค์กรเป็นผู้กำหนดดังนั้นจึงมีไอพีแอดเดรสในองค์กรเท่ากับ 256 x 256 x 256คลาส B กำหนดตัวเลขให้ สองฟิลด์ ที่เหลืออีกสองฟิลด์ให้องค์กรเป็นผู้กำหนดดังนั้นองค์กรจึงมีไอพีแอดเดรส ที่กำหนดได้ถึง 256 x 256 = 65536 แอดเดรสคลาส C กำหนดตัวเลขให้สามฟิลด์ที่เหลือให้องค์กรกำหนดได้เพียงฟิลด์เดียว คือมีไอพีแอดเดรส 256เมื่อพิจารณาตัวเลขไอพีแอดเดรสหากไอพีแอดเดรสใดมีตัวเลขขึ้นต้น 1-126 ก็จะเป็นคลาส Aดังนั้นคลาส A จึงมีได้เพียง 126 องค์กรเท่านั้น หากขึ้นต้นด้วย 128-191 ก็จะเป็นคลาส B เช่น ไอพีแอดเดรสของกรมราชทัณฑ์ขึ้นต้นด้วย 158 จึงอยู่ในคลาส B และหากขึ้นต้นด้วย 192-223 ก็เป็นคลาส Cลักษณะการใช้ไอพีแอดเดรสในองค์กรจึงมีวิธีการจัดสรรและกำหนดเพื่อให้ใช้งาน แต่เนื่องจากหลายหน่วยงานติดขัดด้วยจำนวนหมายเลขที่ได้รับเช่นองค์กรขนาดใหญ่ แต่ได้รับคลาส C จึงย่อมสร้างความยุ่งยากในการสร้างเครือข่ายสำหรับกรมราชทัณฑ์ที่มีไอพีคลาสซี จึงได้แบ่งและจัดสรรไอพีแอดเดรสให้กับหน่วยงานต่างๆได้อย่างพอเพียงไอพีแอดเดรสแต่ละกลุ่มที่ได้รับการจัดสรรจะได้รับการควบคุทำนองเดียวกัน หน่วยงานย่อยรับแอดเดรสไปเป็นกลุ่มก็สามารถนำไอพีแอดเดรส ที่ได้รับไปจัดสรรแบ่งกลุ่มด้วยอุปกรณ์เราเตอร์หรือ สวิตชิ่งได้ การกำหนดแอดเดรสจะต้องอยู่ภายในกลุ่มของตนเท่านั้นมิฉะนั้นอุปกรณ์เราเตอร์จะไม่ สามารถทำงานรับส่งข้อมูลได้มการกำหนดเส้นทางโดยอุปกรณ์จำพวก เราเตอร์ และสวิตชิ่งไอพีแอดเดรสจึงเป็นรหัสหลักที่จำเป็นในการสร้างเครือข่าย เครือข่ายทุกเครือข่ายจะต้องมีการกำหนดแอดเดรสสำนักบริการคอมพิวเตอร์ได้จัดสรรกลุ่มไอพีไว้ให้หน่วยงานต่างๆอย่างพอเพียงโดยที่แอดเดรสทุกแอดเดรสที่ใช้ใน กลุ่ม เช่น การเซตให้กับพีซีแต่ละเครื่องต้องไม่ซ้ำกัน รหัสไอพีแอดเดรสจึงเป็นโครงสร้างพื้นฐานอย่างหนึ่งที่มีค่าสำหรับองค์กรหากองค์กร เรามีไอพีแอดเดรสไม่พอ หรือขาดแคลนไอพีแอดเดรสจะทำอย่างไร เช่นมหาวิทยาลัย ก. เป็นมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่แต่ได้คลาส C ซึ่งมีเพียง 256 แอดเดรสแต่มีผู้ที่จะใช้ไอพีแอดเดรสเป็นจำนวนมากสิ่งที่จะต้องทำคือ มหาวิทยาลัย ก. ยอมให้ภายนอกมองเห็นไอพีแอดเดรสจริงตามคลาส Cนั้น ส่วนภายในมีการกำหนดไอพีแอดเดรสเองโดยที่ไอพีแอดเดรสที่กำหนดจะต้องไม่ปล่อยออกภายนอก เพราะจะซ้ำผู้อื่นผู้ดูแลเครือข่ายต้องตั้งเซิร์ฟเวอร์หนึ่งเครื่องเป็นตัวแปลงระหว่างแอดเดรสท้องถิ่น กับแอดเดรสจริงที่จะติดต่อภายนอก วิธีการนี้เรียกว่า

NAT = Network Address Translatorซึ่งแน่นอนก็ต้องสร้างความยุ่งยากเพิ่มเติม และทุกแพกเก็ต IP จะมีการแปลงแอดเดรสทุกครั้ง ทั้งขาเข้าและขาออก จึงทำให้ประสิทธิภาพการติดต่อย่อมลดลง ซึ่งแตกต่างกับการใช้ไอพีแอดเดรสจริงรูปแบบของไอพีแอดเดรส
- มีขนาด 32 บิต
- ประกอบด้วยเลข 2 ส่วน
-เลขเครือข่าย (network number)
- เลขโฮสต์ (host number)
- รูปแบบการเขียน “dotted decimal”
- แบ่งเป็น 4 ไบต์
- คั่นแต่ละไบต์ด้วยจุด (dot)ความสำคัญของเลขเครือข่ายและโฮสต์
- เราเตอร์ (Router)
- ใช้เลขเครือข่ายเลือกเส้นทางส่ง packet
- โฮสต์ที่มี netid ชุดเดียวกัน
- จะอยู่เครือข่ายเดียวกัน
- สื่อสารกันได้โดยใช้เฟรม data-link
- ไม่ต้องใช้เราเตอร์
- โฮสต์ที่มี netid ต่างกัน
- จะอยู่ต่างเครือข่าย
- เราเตอร์จะส่ง packet ข้ามเครือข่าย

การจัดคลาสเครือ
Class A 0 network host host host
Class B 10 network network host host
Class C 110 network network network host
Class A = 0 – 126
Class B = 128 –
Class C = 192 -223
Class D = 224 – 239Class

E = 240 – 255127 เป็น IP แบบพิเศษ
การหาจำนวน netid และ hostid
- ใช้สูตร 2n- n
= จำนวนบิต
- network และ host ที่สงวนไว้
- network ที่มีบิตเป็น “0” และ “1” ทั้งหมด
host ที่มีบิตเป็น “0” และ “1” ทั้งหมด
Class Aจำนวน network
= 7 บิต- จำนวนเครือข่ายทั้งหมด=7บิต
=128 เครือข่าย
- จำนวนเครือข่ายที่ใช้งานได้
= 27-2 = 128 – 2= 126 เครือข่าย
- จำนวนโฮสต์ในแต่ละเครือข่าย= 24 บิต
- จำนวนโฮสต์ทั้งหมด = 224 = 16,777,216 โฮสต์- จำนวนโฮสต์ที่ใช้งานได้ = 224-2 = 16,777,216 – 2= 16,777,214 โฮสต์Class B- จำนวน network = 14 บิต
- จำนวนเครือข่ายทั้งหมด = 214 = 16,384 เครือข่าย
- จำนวนเครือข่ายที่ใช้งานได้ = 214-2 = 16,384
– 2= 16,382 เครือข่าย
- จำนวนโฮสต์ในแต่ละเครือข่าย= 16 บิต
- จำนวนโฮสต์ทั้งหมด = 216 = 65,536 โฮสต์
- จำนวนโฮสต์ที่ใช้งานได้ = 224-2 = 65,536
– 2= 65,534 โฮสต์
Class
C- จำนวน network = 21 บิต
- จำนวนเครือข่ายทั้งหมด = 221 = 2,097,152 เครือข่าย
- จำนวนเครือข่ายที่ใช้งานได้ = 221
-2 = 2,097,152
– 2= 2,097,150 เครือข่าย
- จำนวนโฮสต์ในแต่ละเครือข่าย= 8 บิต
- จำนวนโฮสต์ทั้งหมด = 28 = 256 โฮสต์
- จำนวนโฮสต์ที่ใช้งานได้ = 28-2 =
– 2= 254 โฮสต์

แปลง IP
209.123.226.168
=11010001.01110001.11100001.10101000

-198.60.70.81
=11000110.00111000.01000110.01010001

..............................................................................
CIDR
-บอกหมายเลข Subnet Mask
-บอกจำนวน Host
CIDR ที่ให้คือ
/22
11111111.11111111.11111100.00000000
= (255+255+252+0)
Subnet Mask = (255.255.252.0)
Host 2^10 = 1024 – 2 = 1022
...................................................................................

/18
11111111.11111111.11000000.00000000
= (255+255+192+0)Subnet Mask =( 255.255.192.0)
Host = 2^14 = 16384 – 2 = 16382

...................................................................................

/27
11111111.11111111.11111111.11100000
= (255.255.255.224)
Subnet Mask = (255.255.255.224)
Host = 2^5 = 32- 2 = 30

.....................................................................................

ออกข้อสอบเรื่อง IP 5ข้อ
1.ข้อใดเป็นการแบ่งเครือข่ายย่อย (subnet mask๗
ก. เป็นเลขขนาด 32 บิต
ข.บิตที่ตรงเลขเครือข่าย (netid) มีค่าเท่ากับ “1”
ค. บิตที่ตรงเลขโฮสต์ (hostid) มีค่าเท่ากับ “0”
ง.ถูกทุกข้อ

2.ข้อใดคือความสำคัญของเลขเครือข่ายและโฮสต์
ก. สื่อสารกันได้โดยใช้เฟรม data-link
ข.รวดเร็ว
ค.มีช่องทางกว้าง
ง.มีจำนวนบิตมาก
3.29.143.26.68 มีค่าตรงกับข้อใด
ก.00011101.10001111.00011010.01000100
ข.11111111.11111111.11111111.11100000
ค.11010001.01111011.11100010.10101001
ง.11000110.00111100.01000110.01010001

4.11000110.00111100.01000110.01010001 มีค่า IP คือ
ก.209.123.226.168
ข.56.23.89.58
ค.198.60.70.81
ง.199.56.23.71

5. IP address 64.7.1.50 จะมี default netmask
ก. 255.0.0.0
ข.255.255.255.0
ค.255.225.252.0
ง.255.0.255.255
...........................................................................................

ข้อสอบ CIDR
1.Subnet Mask และจำนวน Host มีค่าเท่ากันหรื่อไม่
ก.เท่ากัน
ข.ไม่เท่ากัน
ค.ไม่มีค่าแน่นอน
ง.ผิดทุกข้อ

2.Subnet Mask(11111111.11111111.11111100.00000000)ตรงกับข้อใด
ก. 20
ข.21
ค. 22
ง. 23

3.Subnet Mask 15 ตรงกับข้อใด
ก.11111111.11111110.00000000.00000000
ข.11111111.11111111.11111111.11100000
ค.11111111.11111111.11000000.00000000
ง.11010001.01111011.11100010.10101000

4.Subnet Mask = 255.255.192.0 มีค่าเท่ากับกี่
ก.16380
ข.16381
ค.16382
ง.16383

5.11111111.11111111.11111111.11100000 มีค่าตรงกับข้อใด
ก. 26
ข.27
ค.28
ง.29

.........................********************...............................

10 มิถุนายน 2551

เรียนวันที่ 11 /06/51

202.29.57.2
11001010 00011101 00111001 00000010
ตอบ อยู่ใน calss c
...................................................................................
11111111.11111111.11110000.00000000
/20 (128+64+32+16 = 240
หมายเลข subnet mask = 255.255.240.0
Host = 2 ^12 = 4096 -2 = 4094 Host

รายชื่อเพื่อน

From:kimsath sath (kimsathsath@yahoo.com)http://kimsath.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:Gus m (guszaa_m@hotmail.com)http://guszaa.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:นายจำนงค์ ศรีมาศ (srimas2007@hotmail.com)http://jumnong.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:ชยาพงษ์ วังตะเคน (mo.04@hotmail.com)http://thekop-momo.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:sulak Phonboon (sulak_laky@hotmail.com)http://sulak-noy.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:khamsan khampang (khampang3@hotmail.com)http://khampang.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:ชาตรี แก้วมณี (chatree_05@thaimail.com)http://chatree-ton.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:มยุลี เสมศรี (mayulee8787@hotmail.com)http://mayulee8787.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:นางสาว จันทร์ กฤษวี (janjun1@hotmail.com)http://janjun.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:นางสาวประภาศิริ สุทธิหนู(nemo_yung@hotmail.com)http://lylulnlgl.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:sam an leakmuny (leakmuny@yahoo.com)http://leakmuny-sam.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:ณัชพร ไชยมูล (clash_oud@hotmail.com)http://khukhan-bantim.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:วาฤดี สัมนา (waruedee_49@hotmail.com)http://waruedee.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:warawood wisetmuen (nicnicnic_02@hotmail.com)http://warawood.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:r y (overnarn@hotmail.com)http://tcomtoo.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:สุพรรษา ท่วาที (supansa_56@hotmail.com)http://puy-supansa.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:อรอุมา พละศักดิ์ (tep_ratree@hotmail.com)http://tepratree.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:สายรุ่ง พงษ์วัน (sayrung_@hotmail.com)http://koraikoo.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:ศิริกัญญา ศิริญาณ (tumkatong@gmail.com)http://tumkatong.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:พรพรรณ สังขาว (aaa.37@hotmail.com)http://oake-pornpan.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:นายเทิดศักดิ์ บุญรินทร์ (ton_therdsak783@hotmail.com)http://tonstaff.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:นิพนธ์ ทรัพย์ประเสริฐ (nipoon_karn@hotmail.com)http://karnline.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:ทัสนีย์ ประสาร (tatsanee_1234@thaimail.com)http://ningza-tatsanee.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:wasan dujda (nong2445572@hotmail.com)http://newcastle-wasan.blogspot.com/

ส่งข้อสอบ OSI Model

1. OSI เป็น model ในระดับแนวคิด ประกอบด้วย Layer ต่างๆกี่ชั้น
ก. 3 ชั้น
ข. 5 ชั้น
ค . 7 ชั้น
2. Layer ของ OSI Model สามารถแบ่งได้เป็นกี่กลุ่ม
ก. 2 กลุ่ม
ข. 3 กลุ่ม
ค. 4 กลุ่ม
3. ถ้า Physical Layer เป็น Layer แรกใน OSI Model ถามว่า Session Layer เป็น Layer ที่เท่าใด
ก. 7
ข. 4
ค. 5
4. ถ้า Phyiscal Layer เป็น Layer แรกใน OSI Model ถามว่า Application Layer เป็น Layer ที่เท่าไร
ก.2
ข.3
ค.7
5.ใน OSI Model นั้น การแบ่งเป็นลำดับชั้นหรือการ Encapsulation ออกมาเป็นในแต่ละเลเยอร์ต่างๆ จะทำเพื่อประโยชน์ดังต่อไปนี้ ยกเว้นข้อใด
ก. เพื่อให้ผู้ผลิตในแต่ละรายได้มีมาตรฐานในการพัฒนาเพื่อใช้งานร่วมกันได้
ข.สนับสนุนความเป็นมาตรฐานของแต่ละแอพลิเคชันในแต่ละเลเยอร์
ค .อนุญาติให้ ฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์นั้นสามารถที่จะติดต่อสื่อสารกันได้
ง .อนุญาตให้ใช้งานเครื่อง Pirnt ได้

03 มิถุนายน 2551

ข้อสอบแอสกี

1.รหัสแอสกี้เป็นรหัสที่พัฒนาขึ้นโดยชาติใด
ก .อังกฤษ
ข .สหรัฐอเมริกา ****
ค .จีน

2.รหัสแอสกีคือรหัสเกี่ยวกับอะไร
ก.รหัสที่คอมพิวเตอร์ใช้เพื่ออ้างอิงอักษรแต่ละตัว ***
ข.รหัสที่ใช้ในการคำนวนเลข
ค.รหัสที่ใช้ตรวจสอบความจุ

3.รหัสแอสกีเป็นรหัสกี่บิต
ก.4 บิต
ข.6 บิต
ค.8 บิต ***

แนะนำตนเอง

ชื่อ นางสาว วาฤดี สัมนา
ชื่อเล่น ตั๊ก
โปรแกรมวิชา วิทยาการคอมพิวเตอร์ ปี3
รหัสนักศึกษา 4912252145
เบอร์โทร 0896266406


งานที่ส่ง
WARUEDEE
57,41,52,55,45,44,45,45
01010111,01000001,01010010,01010101,01000101,01000100,01000101,01000101


SAMMANA
53,41,4D,4D,41,4E,41
01010011,01000001,01001101,0100110101000001,01001110,01000001


0896266406
30,38,39,36,32,36,36,34,30,36
00110000,00111000,00111001,00110110,00110010,00110110,00110110,
00110100,00110000,00110110